Sunday, November 16, 2008

กราบขออภัยอย่างงามๆๆๆๆๆเลยครับ

เนื่องด้วยกระทู้ที่แล้วไปตกปากรับคำว่าจะอับกระทู้กับพี่ท่านหนึงไว้
แล้วก็เคราะห์ซ้ำ กรรมชัดอีกระลอก งานเข้าครับทำเอาอดหลับอดนอนมา เกือบๆ 2 เดือนเห็นจะได้
ตอนนี้งานเริ่มๆซาลงแล้วครับก็กราบขออภัยทุกท่านที่หลงเข้ามาดูบล๊อกผมนะครับ
จากนี้ไปจะเริ่มอับบล๊อกแบบบ้าคลั่งแล้วครับ ( เก็บกดมานาน ) หึๆ
.................

Sunday, August 17, 2008

กราบขออภัย,กลับมาแล้วครับ

หลังจากที่ปล่อย Blog ร้างมานานมาก.....
ตอนนี้ผมกลับมาแล้วครับ กราบขออภัยทุกท่านที่หลงเข้ามาชม blog ผมครับ
^
^
^
^
^
เนื่องด้วยเปลี่ยนที่ทำงานใหม่
ประกอบกับเวลาที่เคยมีอยู่มันลดน้อยลงไปอย่างน่าใจหายก็เลยทำให้ผมไม่ได้มาอัพ Blog
เลยครับ T_T
แต่ต่อจากนี่ไปเกล้ากระผมจะเลิกดองบล็อกและจะหันมาอัพอย่างเป็นทางการแล้วคร้าบ
เออ......................
......................................................................................................................................
แบบว่าไม่รู้จะพูดไรต่อดีเอาเป็นว่า โปรดติดตามตอนต่อไปครับผม

Sunday, March 2, 2008

Never Ending Story



[image by: peggy@ flickr]



Time to Say Good Bye
^
^
^
^
^
^
^
^

"โลกมักมี 2 สิ่งมาคู่กันเสมอ การพบเจอก็มาคู่กับการลาจาก ถึงแม้ว่ามันไม่ได้มาพร้อม ๆ กัน แต่มันก็มักมาแบบไล่เลี่ยกัน การพบเจอในสิ่งที่เราต้องการ เราก็มีความสุข การลาจากในสิ่งที่เราไม่ต้องการเราก็มีความสุข แต่ส่วนใหญ่การลาจากมักจบลงด้วยน้ำตา การอำลาเพื่อนสมัยประถม มัธยม หรือเพื่อนร่วมงานที่เรารู้สึกดีๆด้วย ไม่ว้าเราจะเป็นฝ่ายลาหรือถูกลา แต่การจากลาจะทำให้เราเข้าใจลึกซึ้งถึงสัจธรรมข้อหนึ่งที่ว่า ไม่มีใครอยู่กับใครได้นาน และทุกคนก็ต้องจากกัน จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง"

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้ไปบอกลาคนรู้จักในที่ทำงานมาครับ(เพราะเป็นสัปดาห์สุดท้ายที่ผมทำงาน ที่บริษัทนี่ครับ ) และเป็นการพบปะกับคนเยอะมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนครับ และมีทั้งจากทุกกลุ่มตั้งแต่คนที่พึ่งได้มีโอกาสเจอ คุยเป็นครั้งแรก จนไปถึงคนที่หายตัวไปนานมากหรือคนที่พบเจอกันบ่อยเสียจนจำไม่ได้ว่าเจอกันกี่ครั้งแล้วในรอบเดือนนี้ ผมก็ได้มีโอกาสคุยกับพวกเขาในหลายๆเรื่องครับ ซึ่งก็ได้รู้เรื่องราวใหม่ๆของคน และก็ได้รู้ถึงความก้าวหน้าของแต่ละคนที่กำลังทำงานตามแผนที่ตั้งไว้สำหรับปีใหม่นี้ หลังจากที่ผ่านช่วงเวลาพบปะกันและมีเวลาพอที่จะมาเรียบเรียงความคิดให้กับตัวเอง ผมก็พบกับสิ่งที่เป็นสัจธรรมอย่างหนึ่งของโลก นั่นคือการพบกันและการลาจากครับมีคนบอกผมว่า " ถ้าไม่มีการลาจาก ก็ไม่สิ่งใหม่ๆในชีวิต จบเพื่อเริ่มต้นใหม่ และเริ่มต้นใหม่เพื่อจบลง มันเป็นสัจธรรม "

เป็นสิ่งที่ผมเองรู้สึกได้ในตอนนี้ถ้าจะว่าไป การติดต่อกับบุคคลในสมัยนี้ก็ง่ายกว่าเดิมด้วยช่องทางการสื่อสารที่มากมาย แต่ก็นั่นแหละครับ ธรรมชาติของมนุษย์ต้องการอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม เพราะฉะนั้นแล้วการได้เจอตัวจริงเพื่อพูดคุยกันและสัมผัสถึงตัวตนจริงๆก็คงจะไม่มีอะไรที่ดีเท่ากับการพบปะในรูปแบบอื่นอีกแล้ว จะว่าไปเรื่องที่ผมจั่วหัวในวันนี้ก็เป็นเรื่องที่ธรรมดาของโลกนี้ แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยู่ยั้งยืนยงและค้ำฟ้าตลอดไป การพบกันก็ย่อมหมายถึงการนับถอยหลังเพื่อที่จะจากไปในเวลาเดียวกัน ซึ่งจะช้าหรือเร็วก็แล้วแต่ว่าในอนาคตจะเป็นยังไง และในทางกลับกัน การจากกัน ก็อาจจะมีความหมายเพื่อรอวันเวลาที่จะได้กลับมาเจอกันอย่างน้อยอีกสักครั้งเหมือนกัน แต่ไม่ว่าจะได้เจอกันหรือไม่ได้เจอกันอีกในอนาคต ไม่ว่าความสัมพันธ์ต่างๆจะเป็นรูปแบบใด ผมก็ยังเชื่อว่า การใช้เวลาเพื่อสร้างความสัมพันธ์เพียงแค่ 1 นาที ก็ได้ผลกว่าการยืนข้างกัน 1 ชั่วโมงโดยที่ไม่ทำอะไรเลยครับ บางที การลาจากอาจจะไม่ใช่เรื่องที่เลวร้าย หากหัวใจสำคัญของความสัมพันธ์นั้นๆขึ้นอยู่กับว่า เราจะใช้เวลาที่ได้เจอกันอย่างคุ้มค่าที่สุดหรือไม่ เพื่อเราจะได้รู้สึกอิ่มใจเมื่อถึงช่วงลาจาก และยินดีเมื่อเรามาพบกันอีกครั้ง ^___^

ส่วนอันนี้เป็นกลอนที่ผมเชริส์หาเจอไม่ทราบผู้แต่งครับ แต่ชอบใจความของกลอนนี้ดีครับ
"อย่ามอง การจากลา ว่าทำร้าย
ตรงกันข้าม…มันท้าทายความห่วงหา
ว่าเมื่อเรา ห่างไกล ไปสุดตา
ความผูกพันธ์ จะมีค่าหรือเปลี่ยนไปนั้น.....อยู่ที่ใจ
"

Note
- ขอบคุณเพื่อนๆพี่ๆที่ทำงานมากๆครับครับสำหรับของขวัญก่อนจาก (อยากบอกว่าเสื้ออ่ะผมใส่ไม่ได้ครับT_Tแต่จะพยายามลดหุ่นเพื่อให้ใส่เสื้อได้ ^__^ )
- พี่เลิกครับฝากบอกทุกคนด้วยว่าของก่อนจากเดี่ยวจะส่งตามมาให้ที่หลังนะครับ (แอบใช้พี่ซะงั้น )

Friday, February 15, 2008

Tip for heavy drinker

คาดว่าหลายท่านที่แวะมาชม บล็อกผมหรือหลงเข้ามาก็ตามที เมื่อวานคงได้มีการเลี้ยงฉลองกันเป็นอย่างแน่แท้( ไม่มากก็น้อยล่ะครับ ) และอาจจะมีการดื่ม บ้างนิดหน่อยใช่ไหมครับแล้วท่านๆทั้งหลายรู้หรือเปล่าว่า ที่ท่านดืมเข้าไปนั้นท่านดื่มถูกวิธิ หรือหรือดื่มแบบไม่เสียของบ้างครับ

ถ้าท่านไม่ทราบ มาม่ะมะมา เรามาสดับรับฟังวีธีการดื่มแบบไม่เสียของกันดีกว่า ฮ๋อ เฉพาะของ ตระกูล จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ น่ะครับส่วนยี่ห้ออื่นคงต้องรบกวนท่านๆศึกษากันเองน่ะครับ แต่ถ้าจะให้ดีเรียกผมไปศึกษาด้วยก็ดีน้าคร้าบ 555..... หา อะไรน่ะครับผมหลอกกินฟรี อือ!เปล่าน่ะครับ ผมอยากศึกษาเป็นวิทยาทานเท่านั้นจริงๆ...........จริ้ง จริง( เสียงสูง ) ......-_-"
^
^
^
^
^
^
ดื่มอย่างไรไม่ให้เสียของพร้อมสัมผัสกับรสชาติที่แอบซ่อน ( ผมลอกเค้ามาน่ะครับ )



รู้จักคำว่า ' เสียของ ' กันบ้างมั้ย ? คนไทยเราน่ะ ชอบทำให้เสียของอยู่เรื่อยโดยเฉพาะนิสัย ' การดื่มแบบผสมมิกเซอร์ ' ทั้งหลายนั่นแหละคือการทำให้วิสกี้ชั้นดีที่บางทีไม่ควรผสมใดๆ ต้อง ' เสียของ 'วันนี้จะหยิบเอาเรื่องวิสกี้ตระกูล จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ มาพูดกันซะหน่อยเพราะว่าตระกูลนี้มีหลาย ' เลเบิ้ล ' เหลือเกิน ซึ่งมีวิธีการดื่มเฉพาะซะด้วย



เริ่มจาก ' เรด เลเบิ้ล ' (Red Label) กันก่อนเลยดีกว่าจอห์นนี่ วอล์กเกอร์ เรด เลเบิ้ล น่าจะดูถูกใจคนไทยที่สุดเพราะน้องเล็กสุดขวดนี้ มี วัตถุประสงค์เพื่อการดื่มตลอดค่ำคืนพูดง่ายๆ ก็คือกินได้นานๆ สนุกสนานกันทั้งคืนนั่นแหละแถมวิธีการกินที่ถูกต้องนั้น ก็ต้องผสมกับ ' มิกเซอร์ ' ทั้งหลายอันเป็นวิธีการดื่มที่นิยมในหมู่คนไทยอยู่แล้วซะอีก ตอนนี้ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ เรด เลเบิ้ล ก็เลยขายดีที่สุดไปโดยปริยาย ง่ายๆ จะใส่น้ำแข็ง ผสมโคล่า ชามะนาว หรือโซดาก็ได้ทั้งนั้นสุดแล้วแต่ว่าจะชอบรสชาติแบบไหนหลังผสมมิกเซอร์แล้วเท่านั้นเอง แต่นักดื่มมืออาชีพมักนิยมผสมน้ำก่อนแล้วจึงผสมโซดาตามลงไปในอัตราส่วน2:1หรือที่เรียกกันว่า " โซดาลอย " นั่นเอง...ผสมเสร็จก็ เอ็นจอย ดริ๊งกิ้ง กันได้ทั้งคืน ( แต่อย่าขับรถหลังดื่มนะ )



โตขึ้นมาหน่อย กับความเคร่งขรึมแบบ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ แบล็ค เลเบิ้ลวิสกี้ชั้นดีจากการหมักบ่มเพื่อ ให้ได้รสชาติที่คลาสสิกที่สุดนานถึง 12 ปีวิธีการดื่มที่ถูกต้องนั้นก็คลาสสิกไม่แพ้รสชาติของตัววิสกี้ง่ายๆ เท่ๆ ดูดีด้วยสไตล์ที่เรียกกันว่า ' ออน เดอะ ร็อก ' นั่นเองหรือถ้าอยากย๊ากอยากจะผสมมิกเซอร์เหลือเกินก็ต้องใส่น้ำแข็งเข้าไปเยอะๆ วิสกี้ ครึ่งแก้ว และโซดาอีกครึ่งแก้ว แค่นี้แหละ ก็จะได้สัมผัสรสชาติที่แท้จริงของ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ แบล็ค เลเบิ้ล



มาถึงวิสกี้ตระกูล จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ ที่ไม่ค่อยจะเห็นบ่อยนักบ้างดีกว่าเริ่มจาก จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ โกลด์ เลเบิ้ล ปีกันก่อนแค่นำ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ โกลด์ เลเบิ้ล ไปใส่ในช่องแช่แข็งสัก 24 ชั่วโมง ถ้าที่ในช่องแช่แข็งยังเหลือก็นำแก้วทรงสูงเปล่าๆ แช่ไว้ด้วยพอได้เวลา ก้รินใส่แก้วที่แช่ไว ้ข้างกันๆ นั่นแหละ แล้วดื่มเข้าไปเลยทันทีที่วิสกี้เย็นจัดปะทะกับความอุ่นในปาก กลิ่นหอมหวนนุ่มลิ้นจะอบอวลแหม ...ยิ่งถ้ามีช็อกโกแล็ตดีๆ ไว้กินเข้าคู่ล่ะก็ จะเป็นความสุขที่ลืมไม่ลงเลย เชียว



ส่วน จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ กรีน เลเบิ้ล ที่มีจำหน่ายแบบจำกัดประเทศนั้นหาน้ำแข็งก้อนใหญ่ๆ สักก้อน ใส่ในแก้วปากกว้างเพียงแค่ก้อนเดียว ไม่ต้องกลัวว่าน้ำแข็งก้อนนั้นจะเหงา เพราะเราจะเฝ้ามองอย่าทะนุถนอม จากนั้นริน จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ กรีน เลเบิ้ล ลงไปไม่ต้องท่วมน้ำแข็ง แกว่งแก้วเล็กน้อย ให้อุณหภูมิของวิสกี้ชะอุณหภูมิของน้ำแข็งก้อนโตดมกล ิ่นวิสกี้ที่ระเหยขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนลิ้มรสวิสกี้ที่อุณหภูมิพอเหมาะพอดีงานนี้จะได้ รสชาติ กลิ่น และแสงที่วิสกี้ตกกระทบกับก้อนน้ำแข็งชวนมอง ( อันนี้เคยเสียของมาครั้งหนึ่งแล้ว )


ปิดท้ายกันที่วิสกี้ชั้นสูง จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ บลู เลเบิ้ล อายุ 25 ปีที่หมักบ่มจากมอลต์คุณภาพสูง ตามวิธีการคลาสสิกแบบศตวรรษที่ 19วิธีการดื่มวิสกี้ชั้นสูงนี้ก็คลาสสิกมาก เตรียมแก้วบรั่นดีสวยๆ ไว้สัก 2 ใบแก้วนึงรินวิสกี้รอไว้ ส่วนอีกแก้วนึงรินน้ำแร่เย็นๆ ไว้เช่นกันดื่มน้ำแร่เย็นๆ เพื่อปรับอุณหภูมิในช่องปากกันก่อน จากนั้นจิบ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ บลู เลเบิ้ล ในแก้วบรั่นดีอีกใบตามเมื่อน้ำแร่เย็นๆ ที ่หลงเหลืออยู่ในช่องปากผสมกับวิสกี้ชั้นดีนี้รสชาติที่แอบซ่อนจะซึมผ่านเพดานปากไปมัดใจนักดื่มเหล้าทั้งหลายไม่รู้ลืม เสร็จสิ้นครบทั้ง 5 เลเบิ้ลของตระกูล จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ กันแล้วต่อจากนี้นักดื่มเหล้าชาวไทยทั้งหลาย ก็จะดื่มได้แบบไม่เสียของกันแล้วแต่ที่สำคัญที่สุด ดื่มแล้วจะมึนน้อยหรือมึนมาก ก็อย่าขับรถเลยเก็บชีวิตที่มีค่าไว้สัมผัสกับสิ่งดีๆ ที่รอเราอยู่มากมายในวันข้างหน้าดีกว่า

note
- ผมเคยดื่มแค่ เรด กับ แบล็ค ท่านั้นครับ ส่วนอันอื่นไม่เคยได้ผ่านลำคอผมเลย ( ผูดง่ายๆว่าไม่มีปัญญาซื้อกินอ่ะครับเพราะแค่สองอย่างที่ผมเคยดื่มมาเนี่ยก็ราคาเอาเรื่องเหมือนกันครับ )
- หรือถ้าท่านใดสงสารผมก็ส่งมาให้ผมลองได้นะครับจักขอบคุณเป็นอย่างสูง อิๆ

Thursday, February 14, 2008

This is Love Day



"Love is.........."
^
^
^
^
^

สืบเนื่องมาจากที่ผมได้ไปแวะชมบล็อกของพี่ชายท่านหนึง
เลยเกิดอาการคันอยากรู้ประวัติของวันนี่ว่ามีที่มาอย่างไรบ้าง

เรามาเริมกันเลยดีกว่าครับ
- วันนักบุญวาเลนไทน์ (Saint Valentine's Day) หรือที่เป็นที่รู้จักว่า วันวาเลนไทน์ (Valentine's Day) ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็นวันประเพณีที่คู่รักบอกให้กันและกันทราบเกี่ยวกับความรักของพวกเขา โดยการส่งการ์ดวาเลนไทน์ ซึ่งโดยมากจะไม่ระบุชื่อ วันนี้เริ่มเกี่ยวข้องกับความรักแบบชู้สาวในช่วงยุค High Middle Ages เมื่อประเพณีความรักแบบช่างเอาใจ (courtly love) แผ่ขยาย

ประวัติ
- ก่อนคริสต์ศักราช 269 ปี ในสมัยนั้นการแต่งงานกันในโบสถ์ยังไม่เป็นที่นิยม แต่เซนต์วาเลนไทน์กลับให้คนภายนอกเข้ามาแต่งงานได้ ซึ่งประเพณีเช่นนี้มักจะถูกต่อต้าน แต่เซนต์วาเลนไทน์กลับให้คนรักกันแบบนี้ได้ เซนต์วาเลนไทน์จึงถูกชาวโรมันจับตัวส่งไปขังและเขาก็ได้พบรักกับสาวตาบอดในคุก เมื่อฝ่ายที่ว่ามานี้รู้ข่าวเข้าจึงนำเซนวาเลนไทน์ไปประหารวันที่ 14 กุมภาพันธ์ วันนี้จึงเป็นวันวาเลนไทน์นั่นเอง

ของขวัญวันวาเลนไทน์
- วันวาเลนไทน์เป็นวันแห่งความรัก ไม่ว่าจะเป็นการรักครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อน คนรัก ดังนั้นพอถึงวันวาเลนไทน์จึงมีการให้ของขวัญการ์ดรูปหัวใจ หรือดอกไม้ โดยทั่วไปแล้วดอกกุหลาบ จะได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน มีความเชื่อกันว่าดอกกุหลาบนั้นเป็นตัวแทนของการบอกรัก ได้เป็นอย่างดี ดอกกุหลาบแต่ละสีจะบอกความหมายที่แตกต่างกันไปซึ่งล้วนแต่เป็นความหมายที่ดีทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าข้างๆ ดอกไม้ที่เขาให้จะไม่มีข้อความที่บอกรักหรือความในใจก็ตามแต่ สิ่งของที่ใครมอบให้เราล้วนแต่เจ้าของคนให้จะคิดทั้งสิ้นว่ามีความหมายอย่างไรกับเรา

อือ อ่านประวัติแล้วไหงเป็นวันประหารของท่าน Saint Valentine's Day ไปได้แฮะ แต่ก็ถือว่าเป็นการให้เกียรติเนอะ
และจากการคันอยากรู้ประวิติแบบคร่าวๆแล้วนั้นทำให้ผมได้ทราบความหมายของดอกไม้แต่ละสีด้วยครับ

การส่งดอกไม้วันวาเลนไทน์
มนุษย์ได้ใช้ดอกไม้เป็นสื่อในการแสดงความรักต่อกันมานานแล้ว เราอาจจะคิดว่าดอกไม้เป็นสิ่งที่สามารถใช้สื่อความหมายเฉพาะความรักของหนุ่มสาวเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วดอกไม้แต่ละชนิดสามารถสื่อความรักได้หลายรูปแบบ ทั้งยังไม่จำกัดอายุและเพศอีกด้วย
• กุหลาบแดง จะใช้ในความหมายแทน ประโยคที่ว่า "ฉันรักเธอ"
• กุหลาบขาว กุหลาบขาวแทนความหมายแห่งความรักอันบริสุทธิ์ "ฉันรักเธอด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่หวังสิ่งใดตอบแทน"
• กุหลาบชมพู มักถูกใช้แทนความรักแบบโรแมนติก และความเสน่หาต่อกัน ความงดงามและความอ่อนโยน
• กุหลาบเหลือง สีเหลืองเป็นสีแห่งความสดใส แทนความรักแบบเพื่อนประมาณ"ขอเป็นชู้ทางใจ" หรือ หมายถึงความสุข สนุกสนาน ร่าเริง

• กุหลาบแดงและขาวรวมกัน สื่อความหมายให้รู้ว่า "สองเราเป็นหนึ่งเดียวกัน"
• กุหลาบสีส้ม เพื่อบอกความในใจถึงความรักและสิ่งที่ผ่านมา
• กุหลาบแดงเข้ม (สีเหมือนไวน์แดง) แทนคำว่า "เธอช่างสวยเหลือเกิน"
• กุหลาบตูม ที่มีทั้งใบและหนาม บอกให้รู้ว่า "แม้ฉันจะวิตกอยู่บ้าง แต่รู้ว่าเธอคงไม่ปฎิเสธ"
• กุหลาบตูมที่ริดใบทิ้งหมด แสดงให้เห็นว่าผู้ให้รู้สึกทุกสิ่งทุกอย่างน่ากลัวไปหมด
• กุหลาบตูมที่ริดหนามทิ้งหมด แสดงให้เห็นถึงความหวังที่มีอย่างเปี่ยมล้น
• กุหลาบตูมสีแดง แสดงให้เห็นถึงความรักที่ไร้เดียงสา "รักของฉันเพิ่งแรกแย้ม และอ่อนต่อโลก"
• กุหลาบตูมสีขาว แสดงถึงความมีเสน่ห์น่าหลงใหล ไร้เดียงสาในเรื่องความรัก
• กุหลาบบานหนึ่งดอก และกุหลาบตูม 2 ดอก อยากบอกว่า "นี่คือความรักที่ฉันแอบซ่อนไว้"
• กุหลาบบานสีแดง บอกให้รู้ว่า "ฉันรักเธอเข้าแล้ว"
• กุหลาบสีแดงที่โรยแล้ว เขาอยากจะบอกให้คุณรู้ว่า "ความรักของเรานั้นจบลงแล้ว"
• กุหลาบสีขาวที่โรยแล้ว แทนความหมาย "เสน่ห์ของเธอมันจืดจางลงแล้ว"
• กุหลาบไร้หนาม ให้รู้ว่า "เธอช่างมีเสน่ห์น่าหลงไหลแม้ยามแรกพบ"
• กุหลาบดอกเดียว แทนความหมาย "รักฉันแม้เรียบง่าย แต่ก็มั่นคงกับเธอผู้เดียว"

ส่วนดอกไม้ประเภทอื่นๆ หมายถึงอะไร..... (ตามความหมายของชาวอังกฤษนะครับ)

• กล้วยไม้-ระลึกถึง • คอนฟาวเวอร์-ความบอบบาง
• ดาวเรือง-สิ้นหวัง • เดซี่-ความไร้เดียงสา
• ซ่อนกลิ่น-พิสวาทที่อันตราย
• บานชื่น-คิดถึงเธอ
• คาร์เนชั่นชมพู-รักของผู้หญิง
• คาร์เนชั่นแดง-แด่หัวใจที่น่าสงสาร
• คาร์เนชั่นลาย-การปฏิเสธ
• ทิวลิปเหลือง-รักที่ค่อนข้างสิ้นหวัง
• ทิวลิปแดง ( i like )-การบอกรัก
• ทิวลิปลาย-ดวงตาของคุณสวยจริงๆ
• ทานตะวัน-ความถือตัว
• เบญจมาศเหลือง-รักนิดหน่อย
• เบญจมาศแดง-รัก
• โบตั๋น-ความขี้อาย
• ป๊อปปี้ขาว-การหลับ
• ป๊อปปี้แดง-การปลอบโยน
• ป๊อปปี้แดงเข้ม-พิเศษสุด
• มอร์นิ่ง กอร์รี่-หลงรัก
• มะลิ-ความสง่างาม
• รองเท้านารี-ความเอาแต่ใจ
• ลิลลี่-ความอ่อนหวาน ความบริสุทธิ์

ก็ประมาณนี้แหละครับ ( ฮู้ว เหนื่อยแฮะ )

note
- วันนี้ เขออภัยที่เขียนยาวไปหน่อยครับ ( ไม่หน่อยแล้วนิ )
- สรุปแล้วทั้งวันนี้ผมไม่ได้ดอกไม้ซักดอกเลยแฮะ เศร้าจัง

Tuesday, February 12, 2008

คิดได้ไง ( ว่ะ ) เนี้ย

เมื่อวานนี้หลังจากกลับจากไปงานรับปริญญาของลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งที่สวนอัมพรมา
หลังจาที่พาลูกพี่ลูกน้องคนนั้นไปส่งที่หอพักแล้วผมเลยพาแม่กับน้าไปส่งที่หมอชิต
นึกสนุกขึ้นมาเลยอยากแวะลงไปดูอะไรนิดหน่อยที่ตลาดนัด SUNDAY ด้านหลังจตุจักร
เวลาตอนนั้นก็ประมาณ เกือบๆทุ่มหนึ่งเห็นจะได้ ก็ยังพอมีร้านที่ยังเปิดอยู่บ้างแต่เหลือน้อยแล้วครับ
ผมเดินดูของเล่นๆเรื่อยๆจนเกือบ 2 ทุ่ม ก็เลยเดินออกมาเพื่อจะไปขึ้นรถเมล์
ถ้าคนที่เคยไปจตุจักรจะทราบว่าป้ายรถเมล์ด้านหลังที่อยู่ถนนกำแพงเพชร 2 จะอยู่ก่อนถึงหน้าที่ขายหนังสือเก่า
ผมยืนรอรถนานพอสมควรเลยขี้เกียจรอแล้วผมเลยกะว่าจะไปขึ้นรถไฟใต้ดินแทนเพื่อไปลงที่สถานนีลาดพร้าว
ผมเลยต้องเดินผ่านหน้าที่ขายหนังสือเก่า ขณะกำลังเดินผ่านมีชายหน้าตาไม่คอยเป็นมิตรเท่าไหร ( ประมาณว่าหนวดเฟิ้มตาโต สวมหมวกซาฟารี ใส่เสื้อยืดกางเกงเดฟ อีกตะหาก) โผล่มาพร้อมกับพูดคำถามยอดฮิต
( ถ้าหากใครเคยไปบริเวณนั้นน่าจะทราบว่าที่ตรงนั้นนอกจากหนังสือเก่าแล่วยังมี VCD ประเทืองปัญญาทางเพศขายอยู่ อ๋อรวมถึงหนังสือปลุกใจเสือป่าด้วยน่ะครับ )

ชายหน้าตาไม่คอยเป็นมิตร : " น้องเอาโป๊เป่า" (สำเนียงทองแดงสุดๆ)
ผม : เงียบ เพราะตกใจหน้ามันมาก
ชายหน้าตาไม่คอยเป็นมิตร : " น้องเอาโป๊ไหม ได้ยินที่พี่พูดเปล่านิ" มันถามคำถามเดิมพร้อมกับเสียงที่ดังขึ้น
ผม : " หะหา อ๋อ ไม่เอาครับพี่ " ผมตอบกลับไปหลังจากที่หายตกใจกับการที่มันอยู่ดีก็โผล่มาแล้ว
ชายหน้าตาไม่คอยเป็นมิตร : " หนังสือพี่ก็มีน่ะ" มันยังไม่ล่ะความพยายาม
ผม : " ไม่เอาครับ " ผมยืนยันคำเดิมแล้วก็ค่อยๆเดินเลี่ยงผ่านตัวมันออกไป
ขณะที่ผมเดินผ่านตัวมันไปยังไม่ห่างมันซักเท่าไหร มันก็ตะโกนตามหลังผมมาว่า
ชายหน้าตาไม่คอยเป็นมิตร : " น้องแบบผู้ชายกับผู้ชายเอากัน พี่ก็มีน่ะสนใจไหม "
ผม : .................................. ( กำลังมึนกับคำถามมันอยู่ )
ผม : "ไม่เอาเว้ย" ผมพูดเสียงดังพร้อมกับหันไปมองหน้ามันแล้วทำหน้าตาโกรธแล้วตอบมันกลับไปว่า " กูไม่ใช้เกย์น่ะเว้ย เชี้ย นิ"
จากนั้นผมก็หันหลังกลับแล้ววิ่งไปลงบันไดไปสถานนีรถไฟใต้ดินอย่างรวดเร็ว


note
- ช่วงนี้ผมคงไม่กล้าโผล่ไปด้านหลังจตุจักรซักพัก
- แล้วมันเอาอะไรคิดหว่าว่าตุชอบผู้ชายเนี่ย....
- ขออภัยใช้คำไม่สุภาพตอนท้ายด้วย

Friday, February 1, 2008

shadow of the day



วันนี้นังรถกับบ้านก่อนที่จะแวะไปทำงานต่อที่บริษัทเพื่อน มองออกไปหน้าต่างรถเมล์เห็นบรรยากาศประมาณนี้แหละครับ
...............................
รู้สึกเหงาๆแฮะ คิดว่าหนึ่งวันเรากำลังจะจบไปอีกแล้วเหรอ ไวจัง ช่วงนี้รู้สึกอะไรอะไรก็ไวไปหมดเลยแฮะ

note
- ไม่มีอะไรมากครับแค่เหงาๆเท่านั้นเอง
- บ่นไปจะมีใครได้ยินไหมหน่อ